Thursday, August 17, 2023

สุขสันต์วันเกิด...

                  

                 ขอแสดงความยินดีด้วยนะคะที่คุณได้ก้าวข้ามผ่านแต่ละช่วงชีวิตที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาของความสุข  ความสนุก  ความตื่นเต้น ท้าทาย ความโศกเศร้า ความทุกข์ ความกังวล ความขุ่นข้องหมองใจ ฯลฯ กับมรสุมชีวิตที่ถาโถมเข้ามาเป็นช่วงๆ

                 สรรพสิ่งบนโลกกลมๆใบนี้ มักจะมีอะไรต่อมิอะไรมาให้คุณ เซอร์ไพรส์อยู่เสมอ กี่ร้อน กี่หนาวกันแล้วคะ  จำกันได้ไหมเอ่ย...?
  • แล้วในเวลาที่คุณมีความสุข หรือมีความทุกข์ประเดประดังเข้ามา
  • ช่วงเวลาเหล่านั้นคุณคิดถึงใครกันบ้างคะ ? 
  • แล้วใครกันที่คอยชื่นชมยินดีและเคียงข้างในวันที่คุณประสบความสำเร็จ ?
  •  ใครกันคะที่คอยปลอบประโลมคุณในวันที่คุณทุกข์ใจ ท้อใจและเสียใจ....?
                    .....ลองทบทวนดูค่ะ   1...2...3...หรือหลายคนอาจจะมีมากกว่านั้น .... 

                  แต่คนที่ใกล้ชิดและรู้จักและเข้าใจคุณดีที่สุดก็คือคนที่ทะนุถนอมดูแลคุณมาตั้งแต่อยู่ในท้อง ตลอดเวลาตั้งแต่ตั้งท้อง จนกระทั่งวันที่คุณลืมตาออกมาดูโลกกลมๆ ใบนี้แล้วตะโกนอย่างสุดเสียงว่า....แย่ !  (อุแว้ !)

                   คนนั้น...คนที่คอยโอบอุ้มประคับประคองคุณไว้ ป้อนข้าวป้อนน้ำ คอยพยาบาลเยียวยาในยามที่คุณเจ็บไข้ได้ป่วย ปรนนิบัติพัดวีดูแลคุณ โดยที่ยุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม และยังเป็นครูคนแรกในชีวิตที่คอยชึ้แนะ แนวทางที่ถูกต้องในการดำเนินชีวิตให้กับคุณ แม้ในบางครั้งคำแนะนำเหล่านั้น อาจจะขัดจิตคุณบ้างก็ตามที
                     หลายๆครั้งที่คุณไม่เชื่อฟัง ขัดคำสั่งจนถูกทำโทษ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในเรื่องเดิมๆ ถ้าไม่เป็นผลจากคำแนะนำพร่ำสอนต่างๆ อย่างอดทนพร้อมกับเสียงบ่นซ้ำซาก( แต่ไม่ค่อยอยากจะปฏิบัติตามสักเท่าไหร่ ) จนจำได้ขึ้นใจ  อย่างที่ผ่านมานั้นจนถึงวันนี้  คุณก็คงจะไม่ได้ยืนผงาดท้าลมร้อนเหงื่ออาบกายกันอย่างทุกวันนี้เป็นแน่...

สิ่งที่ควรทำ....
ในวันสำคัญของคุณในแต่ละขวบปี
  • ตื่นเช้ามาทำบุญตักบาตร สังฆทาน (ตามกำลังทรัพย์และจิตศรัทธา) กรวดน้ำ แผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศลให้บรรพบุรุษที่ล่วงลับ และเจ้ากรรมนายเวร เพื่อเป็นศิริมงคล
  • กราบเท้าคุณพ่อ คุณแม่ที่ให้กำเนิด หรือ บุพการีที่ดูแลคุณมาตั้งแต่เเล็กแต่น้อย
  • ระลึกถึงบุญคุณของท่านที่ได้ดูแลอบรมเลี้ยงดูคุณมาเป็นอย่างดี
  • ตอบแทนบุญคุณของท่าน ดูแลปรนนิบัติเอาใจท่านหลายคนไม่รู้จะเริ่มอย่างไรดีอาจจะมีเขินบ้างในบางครอบครัว เริ่มจาก...กอดและบอกรักท่านนี่ล่ะค่ะง่ายๆไม่ต้องซื้อต้องหาให้วุ่นวาย แค่นี้ท่านก็ปลื้มจนน้ำตาปริ่มแล้วล่ะค่ะ บางท่านอาจจะพอมีสตางค์ ก็จัดไปเลยค่ะ อาหารนอกบ้านหรือในบ้านสักมื้อ ตามสะดวก หรือพาไปเปิดหู เปิดตาบ้างตามอัธยาศัยแล้วแต่จะเห็นสมควร...
ไม่ยากเลยใช่ไหมคะเล็กๆ น้อยๆ ก็ทำให้หัวใจของคุณพ่อ คุณแม่ของคุณได้พองโตขึ้นมาได้บ้าง

          คนเรานี่ก็เหมือนต้นไม้ล่ะค่ะได้น้ำบ้างก็สดชื่นดี น้ำธรรมดานี่ล่ะค่ะไม่ต้องปรุงแต่งจนร้อนจัดหรือเย็นจัด เอาที่พอดีๆ ในที่นี้หมายถึง การแสดงออกว่ารักและเคารพท่านไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกทั้งทางกาย วาจา ใจ ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน ท่านจะได้อยู่เป็นร่มโพธิ์ ร่มไทรให้คุณไปนานๆ
  • หลังจากนั้นคุณจะสุดสวิงริงโก้ กับบรรดาเพื่อนๆ หรือหวานใจก็แล้วแต่สะดวก หรือบางท่านอาจจะขอตัวไปปลีกวิเวกเพียงคนเดียวก็ไม่ว่ากันค่ะ...
           ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์ทั้งหลายในสากลโลก จงดลบันดาลคุณให้มีความสุข ความสมหวังในสิ่งที่คุณหมายมาดปรารถนา ขอให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ธุรกิจ การศึกษา มีสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรง ขอให้โชคลาภ ผลกำไรเงินทองไหลมาไม่ขาดสาย....

            แต่ก็ไม่ควรนั่งรอโชคชะตาฟ้าลิขิตเพียงอย่างเดียวนะคะ...ต้องมี ศรัทธา...มุ่งมั่น...และลงมือทำด้วยค่ะ แล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตลอดถึงจักรวาลจะส่งเสริมคุณ....สุขสันต์วันเกิดค่ะ





5 เลือก 5 เลี่ยง

ใส่ใจกับสุขภาพจิตกันไปบ้างแล้วเป็นอย่างไรกันบ้างคะ ?

ถึงคราวที่คุณควรจะต้องหันมาใส่ใจกับสุขภาพกายกันสักนิดแล้วล่ะค่ะ

เมื่อสุขภาพจิตของคุณเริ่มแข็งแรงขึ้นมาแล้ว สุขภาพร่างกายของคุณก็จำเป็นที่จะต้องใส่ใจไม่น้อยไปกว่ากันเลยค่ะ ถ้าดูแลควบคู่กันไปก็จะเป็นผลดีกับตัวคุณมากมายเลยทีเดียว
เหตุผลที่ควรเลือกกินอาหารเพื่อสุขภาพ
  • จะช่วยทำให้คุณดูดีขึ้นทั้งตัว เพราะร่างกายที่เปี่ยมไปด้วยสารอาหาร และวิตามินจะส่งผลให้ผมของคุณเป็นประกายและผิวพรรณผุดผ่องอย่างเป็นธรรมชาติ
  • อารมณ์ของคุณก็จะพลอยดีตามไปด้วยค่ะไม่ขึ้นๆ ลงๆ เพราะฤทธิ์คาเฟอีน หรือ จากระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ
  • จะช่วยให้คุณมีแรงทำอะไรต่อมิอะไรได้อีกเยอะ เพราะว่าอาหารสุขภาพนั้นเป็นอาหารที่ให้พลังงานสูง
  • ช่วยให้คุณเจ็บป่วยได้น้อยลง อาหารดีๆ นั้น ก็เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดในเรื่องของการปลอดจากโรคภัยไข้เจ็บอีกด้วยค่ะ
  • คุณยังได้ช่วยดูแลสิ่งแวดล้อมไปในตัวด้วย เพราะว่าอาหารสุขภาพส่วนใหญ่ผลิตด้วยระบบปลอดสารพิษ เท่ากับได้ช่วยดูแลสิ่งแวดล้อม และช่วยเหลือเกษตรกรที่ทำการเกษตรแบบอินทรีย์ ไปในตัวด้วยนะคะเป็นแนวทางที่ดีสำหรับผู้ที่รักสิ่งแวดล้อมเช่นคุณ
เหตุผลเหล่านี้น่าจะเพียงพอที่จะทำให้คุณหันมาใส่ใจกับสุขภาพกันขึ้นมาบ้างนะคะ

จะว่าไปแล้วร่างกายของมนุษย์เราก็คล้ายกับเครื่องจักรนั่นเองค่ะใช้งานทุกวันก็ต้องคอยหมั่นตรวจเช็คสภาพ หมั่นดูแล ทำความสะอาด บำรุงรักษา ให้สามารถใช้งานได้ดีอยู่เสมอ อะไหล่ชิ้นไหนเสียก็ต้องซ่อมแซมเพื่อให้กลับมาใช้งานได้ดังเดิม

ร่างกายของคุณก็ต้องการการดูแลเช่นเดียวกันค่ะ เรามาดูกันนะคะว่าอะไรบ้างที่กินแล้วมีประโยชน์กับร่างกาย ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ แล้วอะไรบ้างที่เราควรจะหลีกเลี่ยง ลองมาดูกันค่ะ...

5 สิ่งที่ควรจะเลือก
  • ผักและผลไม้ ควรกินให้ได้ทุกมื้อนะคะ เพราะว่าอุดมไปด้วยแร่ธาตุ และวิตามิน นอกจากนั้นยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและมะเร็งอีกด้วยค่ะ
  • เมล็ดธัญพืช ข้าวกล้อง และขนมปังไม่ขัดขาว ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามิน E และ B และมีกากใยสูง
  • ผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ และนมพร่องมันเนย ช่วยในการเสริมสร้างแคลเซียมและช่วยในการบำรุงกระดูก
  • ถั่วเมล็ดแข็งและเมล็ดธัญพืช ให้โปรตีนและไขมันไม่อิ่มตัวที่ดีต่อร่างกาย 
  • ทานอาหารประเภทโปรตีนไขมันต่ำ เช่น เนื้อไก่ไม่ติดมัน ไข่ขาว ปลา
5 สิ่งที่ควรจะเลี่ยง
  • มันฝรั่งทอดไร้ไขมันแบบต่างๆ เพราะทำจากไขมันเทียม ซึ่งจะไปลดประสิทธิภาพของวิตามิน  A D E K ในร่างกายลงค่ะ
  • ของหวานประเภทคุกกี้  เค้ก หรือบราวนี่ เพราะมีน้ำตาลสูง แถมไม่ให้แร่ธาตุและวิตามินอะไรเลยค่ะ
  • อาหารที่มีส่วนผสมของเกลือสูงเพราะจะทำให้เสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ
  • อาหารที่อุดมไปด้วยไขมันอิ่มตัวสูง เช่นเค้ก อาหารทอด มาร์การีน อาหารแบบนี้เสี่ยงต่อโรคต่างๆมากมายค่ะ
  • ไขมันอิ่มตัว เนย นม และผลิตภัณฑ์จากนมและเนื้อแดงซึ่งมีคอเลสเตอรอลสูง เป็นสาเหตุของหลอดเลือดหัวใจตีบ และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคมะเร็งอีกด้วยค่ะ
ก่อนจะเลือกซื้ออาหารหยุดคิดพิจารณาซักนิดนะคะ เพื่อสุขภาพที่ดีและแข็งแรงค่ะ

ใส่ใจดูแลคนรอบข้างแล้วก็อย่าลืมใส่ใจดูแลสุขภาพตัวคุณเองด้วยค่ะ ได้ผลดีอย่างไรก็ ช่วยกันส่งมอบสุขภาพกายและจิตใจที่ดีให้กับคนที่คุณรักและห่วงใยด้วยนะคะ...  \_^o^_/

ณ วันฝนตก....."


.....ตอนหัวค่ำประมาณสองทุ่มเศษ
หน้าห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง
ผู้ชายคนหนึ่ง...วิ่งฝ่าสายฝน
มาอย่างกระหืดกระหอบเพียงเพื่อจะขอหลบภายใต้ชายคาแห่งสถานที่แห่งนั้นเพื่อบรรเทาความเปียกชื้น

ฉับพลัน...
สายตาของเขาเหลือบไปเห็นสาวงามยืนหลบฝนอยู่ใต้ชายคาแห่งนั้นเช่นกัน
สระน้ำพุหน้าห้างฯ ลึกประมาณหัวเข่าขณะนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยน้ำพุกับน้ำฝน ใสดุจราวกับกระจกวางพาดอยู่ ด้วยอารามรีบบวกกับพละกำลังเท่าที่มีอยู่ขณะนั้น ชายหนุ่มควบฝีเท้าด้วยความเร็วประหนึ่งแสง Flash.......( เสียงเพลงประกอบภาพยนตร์ผุดขึ้นมาในหัวทันที )
แต่น....แตน....แต๊น....

ทันใดนั้น..!
เท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนพื้นน้ำใสปานกระจกของสระน้ำพุแห่งนั้น

OMG !!!

จะวิ่งพ้นหรือจะเปียกชื้นกันล่ะคะงานนี้...ให้ทาย
.....
.....
.....
.....
.....
.....
.....
.....
.....

ปรากฏว่า....ตกน้ำ ค่ะคุณขา.....

เดชะบุญ ที่เขาดีดตัวเองขึ้นมาจากสระน้ำพุได้ แล้วก็เดินเข้าห้างไปทั้งตัวเปียกๆ นั่นล่ะค่ะ

          นี่ล่ะค่ะผลจากความประมาท ถ้ารอบคอบอีกสักนิดวิ่งอ้อมสระน้ำไปอีก 2-3 ก้าวก็คงจะไม่เปียกปอนอย่างนี้

         โชคดีนะคะที่เขาไม่ได้เป็นอะไรมาก
แต่ถ้าโชคร้ายอาจจะหัวร้าง ข้างแตก แขนเดาะ ขาหักได้เพราะบริเวณสระน้ำพุนั้นเป็นหินอ่อนและค่อนข้างลื่น

         กับเหตุการณ์หลายๆ เหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของคุณไม่ว่าจะเป็นของคนรอบกาย หรือของตัวคุณเองบางครั้งก็สะท้อนให้เห็นถึงความรอบคอบของคุณ รวมไปถึงอุบัติภัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นที่ปรากฏให้เห็นตามสื่อต่างๆ ไม่เว้นแต่ละวัน ก็เป็นผลพวงมาจาก ความประมาทและขาดสติ บวกกับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านอยู่ขณะนั้น การขาดความยับยั้งชั่งใจ กระทำไปโดยหุนหันพลันแล่นไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบที่จะตามมา

        สภาวะแวดล้อมที่อยู่รอบกายคุณบางสิ่งอย่างอาจอยู่เหนือการควบคุมของคุณ แต่คุณสามารถที่จะควบคุมตัวคุณเองได้ค่ะ ปรับอุณหภูมิภายในใจให้เย็นลงสักนิดกับบางเรื่องอะไรที่เกิดขึ้นแล้วยังไม่สามารถแก้ไขได้ลองนิ่งๆ มองพิจารณาดูด้วยสติว่า ก็มันเป็นอย่างนั้น แล้วค่อยๆ คิดหาทางแก้ปัญหาไปทีละขั้นตอนไป เรื่องไหนที่สามารถแก้ไขได้ทันทีไม่มีผลกระทบตามมาก็ทำได้ทันทีค่ะ ถ้ายิ่งแก้ไขแล้วปัญหายิ่งบานปลาย ลองปรับเปลี่ยน วิธีคิดและวิธีการดูใหม่ ควรเลือกวิธีการแก้ปัญหาที่ถูกต้องและเหมาะสมและไม่มีผลกระทบ และไม่ส่งผลไปในทางที่แย่ลงจะดีกว่าค่ะ

ความประมาทเป็นบ่อเกิดของความสูญเสียในหลายๆ เรื่อง


โชคดี ไม่ได้เกิดขึ้นได้บ่อยๆนะคะพึงใช้ชีวิตอยู่ด้วยความมีสติค่ะ...^^


     

ทางออกของปัญหา...

เชื่อว่าทุกคนคงเคยเจอกับปัญหามากันไม่มากก็น้อยซึ่งแตกต่างกันไปตามสถานการณ์ที่พบเจอบางคนอาจใช้เวลาไม่นานนักในการแก้ปัญหา แต่กับบางคนจมอยู่กับปัญหา เป็นวัน เป็นเดือน หรืออาจจะเป็นปี แล้วยิ่งถ้าเป็นปัญหาโลกแตกด้วยแล้วอาจจะนานกว่านั้น....แต่ถึงอย่างไรก็ตาม

" ปัญหาทุกปัญหา...ย่อมมีทางออกเสมอ "

บ่อยครั้งนะคะที่หนทางในการแก้ไขไม่ได้อยู่ที่วิธีการที่จะแก้ปัญหานั้นๆ แต่อยู่ที่จิตใจของเรามากกว่าค่ะว่า...มีความพร้อมเพียงใด...มีกำลังใจแค่ไหน...เราสู้แค่ไหนกันแน่ และก็อาจมีหลายครั้งเช่นกันนะคะ

ที่ปัญหาจบลง  หลังจากการทำใจได้ ให้อภัยกันและกัน โดยไม่ต้องรบราฆ่าฟันหรือชำระความแค้นนั่นเองค่ะ

ปัญหาของใครก็ย่อมเป็นปัญหาของคนนั้นผู้ที่เป็นเจ้าของปัญหาย่อมจะเข้าใจถึงปัญหาและสามารถแก้ไขปัญหาได้ดีที่สุดกว่าทุกคนที่เกี่ยวข้องอยู่ ถ้าหากคุณเป็นเจ้าของปัญหาใดๆ ก็ตาม ดังนั้นคุณก็ควรที่จะรับผิดชอบให้ดีที่สุดกับปัญหาเหล่านั้นค่ะ
อันดับแรกเลยนะคะให้คุณทำใจให้สงบค่ะ อย่าเป็นกังวลกับปัญหาเกินไปนัก พยายามมองปัญหาที่กำลังผชิญอยู่ว่าเป็นสิ่งที่สมควรได้รับการแก้ไขมากว่าที่จะเป็นปัญหาชีวิตที่คอยกัดกร่อนกินใจคุณให้ย่ำแย่ลงไปอีก

หลังจากนั้นคุณก็คอยมองปัญหานั้นไปเรื่อยๆ ค่ะเหมือนคุณกำลังพยายามทำความเข้าใจใครสักคนอยู่ ถึงตอนนั้คุณอาจจพบช่องโหว่เล็กๆ ของปัญหานั้น ซึ่งช่องโหว่เล็กๆ นี้ล่ะค่ะที่จะนำพาคุณไปสู่หนทางในการแก้ปัญหา

แต่อาจมีบางคนเถียงว่าก็คงจะใช้ไม่ได้กับทุกๆปัญหา...คำตอบของปัญหาอาจไม่มีหรือสุดที่จะตอบ... คำตอบก็คือหนทางในการแก้ปัญหาที่มืดแปดด้าน... หรือสายเกินกว่าจะแก้ไขก็หมือนกับแก้วที่แตกไปแล้ว นั่นล่ะค่ะถึงจะประกอบขึ้นใหม่ก็ไม่อาจเป็นเหมือนเดิม

อย่าลืมนะคะว่าปัญหาส่วนใหญ่ต้องใช้เวลาในการแก้ไขเสมอค่ะดังนั้น ความอดทนจึงเป็นสิ่งจำเป็นมากกว่าสิ่งอื่นใดและความใจเย็น จึงเป็นสิ่งที่ควรมีควบคูไปกับความอดทนด้วยค่ะ 

ขอเพียงคุณบอกกับต้วเองว่า ทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ คุณก็จะพบทางออกและคลี่คลายปัญหาลงได้ในสักวัน
เพราะอย่างน้อยคุณก็ยังมีความเชื่อมั่นและความหวังว่าคุณจะพบ...ทางออกของปัญหานั่นเอง
แสงสว่างยังคงรอคุณอยู่ที่ปลายอุโมงค์ค่ะ
กัดฟันสู้ไปอีกนิดแล้วชีวิตจะสดใสค่ะ v^^v


ปริศนา 21 วัน...


...เบื่อวันจันทร์...ฝันถึงวันศุกร์...  
 ...เพื่อจะได้มาสนุกกับวันเสาร์-อาทิตย์...

          มนุษย์เงินเดือนหลายๆคน คงรู้สึกแบบนี้กันใช่ไหมคะ ?

           พอถึงวันจันทร์ทีไร ก็มักจะมีอาการครั่นเนื้อ ครั่นตัว ปวดหัว ตัวร้อน นอนไม่อยากตื่นกันเลยทีเดียว ทำงานไปก็เฝ้ารอเมื่อไหร่หนอ...จะวันศุกร์เสียที จะได้ไปแฮปปี้ดี๊ด๊า...ลัลล้า...รีแลกซ์ ในวันเสาร์-อาทิตย์กันให้ชุ่มปอด

          ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นกับผู้คน ไม่น้อยบนโลกใบนี้ โลกที่เป็นพิษอย่างที่คุณไม่ทันนึกถึงไม่ว่าจะเป็นสภาพดินฟ้าอากาศที่แปรปรวน สารพิษที่ปนเปื้อนมากับน้ำ และอาหาร มลพิษในอากาศ หรือ สภาวะของการทำงานที่กดดันต่อสภาพจิตใจ ความตึงเครียดจากการเรียน การขาดสมาธิ ความสงบในการทำงาน  จนทำให้เกิดการเหนื่อยล้าซ้ำซากจนกลายเป็นความจำเจในชีวิตประจำวัน ก่อให้เกิดอาการหงุดหงิด เครียด กังวลใจ ต่างๆ เหล่านี้

          ซึ่งเราไม่สามารถที่จะปิดกั้นพิษจากโลกภายนอกรอบตัวเราได้อย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นควันพิษจากท่อไอเสียรถ หรือพิษภัยที่มากับเทคโนโลยี เช่นโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์

           แต่เราสามารถป้องกันและเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับสุขภาพและเสริมสร้างระบบบำบัดของเสียของร่างกายให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อช่วยในการจัดการ    กับสารพิษที่สะสมในร่างกาย พร้อมกับสัญญาณใหม่ของชีวิตด้วยร่างกายและผิวพรรณที่สดชื่น มีแววตาที่เป็นประกาย หัวใจกระชุ่มกระชวย มีชีวิตชีวา ด้วยการ ลด ละ ล้างพิษด้วยวิธีการที่สามารถทำเองได้ค่ะ

         เพื่อเป็นกำลังใจให้ตัวคุณเองนะคะ ควรเริ่มจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ทำได้ง่ายๆ บ่อยๆ สม่ำเสมอและต่อเนื่องอย่างน้อย 3 สัปดาห์ลองมาดูกันค่ะแล้วคุณจะรู้ว่า ทำไมต้อง 21วัน

ขอบตาดำ แววตาที่อิดโรยเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าถึงเวลาล้างพิษแล้วค่ะ...  

วิธีล้างพิษ : ง่ายที่สุดคือ งดและเลี่ยงการนำพิษเข้าสู่ร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการับประทานอาหาร  อาหารขยะ สะดวกทาน สะดวกดื่มประเภทต่างๆ อากาศเสีย
  • งดการดื่มน้ำอัดลม
  • งดอาหารประเภทเนื้อ นม เนย ไข่
  • งดอาหารฟาสต์ฟู้ด
  • งดอาหารที่ใส่สารสังเคราะห์ปรุงแต่ง สีกลิ่น รส สารกันบูด
  • งดเกลือจัด
  • งดน้ำตาลจัด
  • งดขนมหวาน เค้ก คุ้กกี้ ช็อคโกแลต 
  • งดชา กาแฟ หันมาดื่มชาสมุนไพรประเภทคาโมมายล์ หรือน้ำขิงแทน
  • งดเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์
  • หลีกเลี่ยงผลไม้ที่เคลือบขี้ผึ้งขัดมันวาวบางชนิดเช่น แอปเปิ้ล ควรเลือกผลไม้ที่ปลูกแบบออร์แกนิคจะปลอดภัยกว่า

  • ดื่มน้ำผัก ผลไม้ที่เป็นมิตรกับร่างกายเพราะมีพลังในการขับท๊อกซินในร่างกายสูงอาหารที่มีส่วนช่วยในการระบายจะช่วยให้ระบบขับถ่ายกำจัดของเสียในร่างกายได้อย่างสมดุลเป็นการชำระล้างภายใน เช่น มะละกอ มะขาม ขี้เหล็ก สตรอว์เบอร์รี่ 
  • ดื่มน้ำเปล่าดีที่สุดค่ะ หรือผลไม้ที่มีน้ำมาก เช่นแตงโม สับปะรด เพราะร่างกายของเรากว่า 60% มีน้ำเป็นส่วนประกอบ คุณควรที่จะจิบน้ำบ่อยๆ ในระหว่างวัน 6-8 แก้วต่อวัน บางครั้งรู้สึกว่าร่างกายมีปัญหาบางอย่างอาจเนื่องมาจากภาวะขาดน้ำ เช่น ผิวพรรณแห้งดูไม่ผ่องใส คอแห้งปากแห้ง ปัสสาวะข้น มีสีเข้ม ให้ดื่มน้ำเปล่า หรือทานผลไม้ที่มีน้ำมาก หรือพรมน้ำใส่หน้าก็ช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นค่ะ
  • สาหร่าย ช่วยในการขับของเสียออกจากร่างกาย เปลี่ยนจากทานขนมกรุบกรอบมาทานสาหร่ายอบกรอบที่ไม่เติมผงชูรสดีกว่าค่ะ
  • เลี่ยงน้ำสลัดที่วางขายในซุปเปอร์มาร์เก็ตเพราะมีส่วนผสมของน้ำตาลสูง รับประทานน้ำสลัดที่ทำเองดีกว่าค่ะเพราะคุณสามารถคุมปริมาณน้ำตาลไม่ให้มีรสหวานจัดได้
  • ผลไม้อบแห้ง เมล็ดธัญพืชอบแห้งที่ไม่ใส่เกลือ เค้กธัญพืชหรือเค้กกล้วยหอมที่ไม่อุดมไปด้วยนมเนย จัดว่าเป็นของว่างที่ดีค่ะ
  • โยเกิร์ต มีแลคโตบาซิลลัสซึ่งเป็นแบคทีเรียที่ดีต่อลำไส้และร่างกายของคุณทำให้ระบบขับถ่ายและลำไส้ของคุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ได้อีกด้วย
  • เติมไขมันที่ดีอย่างพวก โอเมก้า 3 ซึ่งมีมากในปลาทะเล เช่นปลาแมกเคอเรล ปลาซาร์ดีน ปลาแซลมอน โอเมก้า 3 ยังมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็ง ทำให้ผิวพรรณดี
  • บริโภค กระเทียม  น้ำแครอท น้ำบีทรูท และองุ่นแดง ล้วนเป็นมิตรที่ดีต่อตับของคุณค่ะ
  • ส่วนแตงโม น้ำผึ้ง ฟ้าทะลายโจร กระเทียมจัดเป็นมิตรที่ดีกับไตของคุณอีกด้วยค่ะ
อย่างไรก็ตามคุณก็ยังคงต้องอยู่ร่วมกับสารพิษต่อไปบนโลกนี้ สาเหตุนี้ล่ะค่ะที่คุณต้องเลี่ยงและหมั่นล้างพิษอย่างสม่ำเสมอ บริโภคอาหารที่ถูกต้อง  ออกกำลังกาย อย่างสม่ำเสมอ และสำคัญที่สุดต้องนอนพักผ่อนให้เพียงพอทำให้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคุณ เพื่อที่คุณจะได้ตื่นมาสวัสดีกับวันจันทร์ได้อย่างสดชื่น...น

ลองดูนะคะ 21 วันกับคุณคนใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ อย่างน้อยก็ช่วยให้คุณรู้สึกดีกับวันจันทร์ขึ้นมาบ้าง...\^^/

กาย...ใจ...

เคยเป็นแบบนี้กันบ้างไหมคะ ?

ในขณะที่ร่างกายแข็งแรงดีมีพลังมากมายก็มักจะมีแต่เรื่องที่ทำให้ขุ่นข้องหมองจิต บั่นทอนใจหรือมีหตุให้ต้องขบคิด ต้องแก้ปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรัก หน้าที่การงาน การศึกษา การเงิน ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นของตัวคุณเอง หรือคนในครอบครัวปัญหาต่างๆ นานาพากันรุมเร้าจนในบางครั้งแทบไม่อยากจะลุกขึ้นมาทำอะไรหรือแทบอยากจะลาโลกไปเลยทีเดียว...

และในบางขณะที่คุณอารมณ์กำลังดีๆ สมองกำลังแล่น พลังหรือไฟในตัวคุณกำลังลุกโชน อยากจะลุกขึ้นมาทำสิ่งดีๆ ให้กับคนรอบข้าง และตัวคุณเองขึ้นมาบ้างร่างกายของคุณก็กลับไม่เอื้ออำนวยที่จะทำสิ่งต่างๆ ไปเสียอย่างนั้น อาจจะด้วยสภาพดินฟ้า อากาศที่แปรปรวนที่ทำให้ครั่นเนื้อครั่นตัว หรือไม่ก็อุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดทำให้เกิดการบาดเจ็บทางร่างกายไม่สามารถช่วยเหลือใครได้แม้กระทั่งตัวเองมันช่างน่าท้อใจนะคะ...

อาการที่กายกับใจไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกันแบบนี้ ก็เป็นเพราะร่างกายกับจิตใจ ทำงานไม่สมดุลกันนั่นเองค่ะ

ถ้าร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงและและมีกำลังใจที่เข้มแข็งดีและอยู่ในสภาวะที่สมดุล ทั้งความคิดและการกระทำก็จะดำเนินควบคู่กันไปได้เป็นอย่างดี ความคิดไหลลื่น และลงมือทำไปได้ดวยความกระฉับกระเฉงอย่างมีความสุข สบายๆ ไปกับความคิดและการกระทำในทุกเรื่องกับทุกปัญหา โดยไม่รู้สึกกังวลหรือเครียดกับสิ่งที่ทำอยู่ขณะนั้น นั่นคือความสมดุลของร่างกายและจิตใจค่ะ

ดูเหมือนง่ายแต่ก็ไม่ง่ายนะคะ บางเรื่อง บางสถานการณ์ และบางเวลา ต้องอาศัยความอดทน อดกลั้นเป็นตัวตั้งถ้าหากมีตัวแปรอื่นเข้ามาแทรกแซงจนทำให้ความคิดและการกระทำไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกันจนเกิดเป็นความกดดัน และความตึงเครียด มีตัวช่วยมาฝากนะคะ มาดูกันค่ะว่ามีสิ่งใดพอจะช่วยปรับความสมดุลให้กับคุณได้บ้าง....

  • ออกกำลังกาย กายบริหารที่ช่วยปรับสมดุลของร่างกายและจิตได้เป็นอย่างดี ก็คือ โยคะ (yoga) และยังช่วยทำให้คุณมีสมาธิและมีรูปร่างทรวดทรงที่สวยงามขึ้นอีกด้วย  
  • พักผ่อนให้เพียงพอ กับความต้องการของร่างกายของคุณควรเข้านอนให้เป็นเวลาทุกคืนไม่ควรเกิน 4 ทุ่มนะคะ 7-8 ชั่วโมงต่อคืนกำลังดี จะช่วยชะลอวัยของคุณให้ดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ
  • รับประทานอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ ในแต่ละวันเพียงพอและเหมาะสมกับความต้องการของร่างกายเพื่อสุขภาพที่ดีจากภายในสู่ภายนอก
  • การทำสมาธิ  จะช่วยให้คุณผ่อนคลายจิตใจและผ่อนคลายกล้ามเนื้อ และยังช่วยให้เกิดสมาธิที่ดีในการทำภารกิจต่างๆในชีวิตประจำวัน
  • หมั่นดูแลร่างกายและจิตใจ ให้สะอาดและมีสุขภาพดีอยู่เสมอ 
5 ข้อเบาๆ กับการปรับสมดุลให้กับร่างกายและจิตใจค่ะ ไม่มากไม่น้อยกับการลดความคับข้องใจในเวลาที่กายกับใจไม่สามัคคีกัน ค่อยๆ ปรับ ค่อยๆ เปลี่ยน แล้วจะดีขึ้นตามลำดับค่ะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ ^^v...

สะกดใจ...

คงไม่มีใครใช่ไหมคะ ?...

ที่ไม่เคยสัมผัสกับความรู้สึกวิตกกังวล เครียด เศร้า ทุกข์ ท้อแท้ เหนื่อยหน่าย หมดกำลังใจ ความรู้สึกต่างๆในจิตใจเหล่านี้ล่ะค่ะ อาจจะเกิดจากหลายๆ สาเหตุ อาทิ การงาน การเงิน การศึกษา ความรัก ปัญหาชีวิต ความกดดันจากผู้คนรอบกาย


ไม่ว่าจะเป็น...

ตกงาน หนี้บานเบอะ หวยกิน รายรับไม่สัมพันธ์กับรายจ่าย สอบตก อกหัก รักคุด ตุ๊ดเมิน เผชิญโชคร้าย ต่างๆ นานา ก็ว่ากันไปนะคะ

นอกจากนี้ยังอาจเกิดจาก...สภาวะสิ่งแวดล้อมไม่ว่าจะเป็นจากที่บ้าน  สถานศึกษา ที่ทำงาน บนท้องถนน มลภาวะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศที่แปรปรวน (จนบางคนอาจจะอยากแก้ผ้าเดินให้มันรู้แล้วรู้รอดไป >.<") เสียงที่ดังรบกวนจากผู้คนจนถึงเสียงสัตว์ กลิ่นเหม็น ควันรถ  ฯลฯ ต่างๆ เหล่านี้เองค่ะ ที่เป็นตัวที่คอยสูบพลังชีวิตของเราให้ลดน้อยลงไปทุกที

ตั้งแต่ตื่นลืมตา จนกระทั่งเข้านอน ใครเจอสิ่งที่กล่าวมานี้ทั้งวัน เชื่อขนมกินได้เลยค่ะว่าร้อยทั้งร้อย ไม่มีใครอยากตื่นกันเลยทีเดียว

ร่างกายของคุณก็เหมือนกับแบตเตอรี่นั่นเองค่ะ เมื่อใช้พลังงานจนหมดก็ต้องชาร์จเพิ่มเติมเข้าไปสะสมไว้ใช้งานใหม่ ในแต่ละวันคุณต่างมีกิจกรรมทำกันมากมายแตกต่างกันไปในแต่ละวัย ไม่ว่าจะเป็น วัยเด็ก วัยเรียน วัยทำงาน และวัยผู้สูงอายุซึ่งต่างก็หมดไปทั้งพลังกายและพลังสมอง บ้างใช้แรงงานมากก็หมดพลังกาย บ้างก็ใช้ความคิดในการแก้ไขปัญหาก็หมดพลังงานสมอง บ้างก็ใช้ทั้งแรงกายบวกกับใช้ความคิดแก้ปัญหา พลังงานก็จะหมดไวกว่า

ดังนั้นร่างกายก็ต้องการพักผ่อน ในบางครั้งแค่การนอนหลับ หรือการพักผ่อนในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกิน เที่ยว ดื่ม สังสรรค์ ดูหนัง ฟังเพลง ช้อปปิ้ง เล่นเกมส์ รับประทานอาหารเสริม ออกกำลังกาย ฯลฯ อาจจะไม่เพียงพอสำหรับบางคน
บางครั้งผู้เขียนก็แปลกใจว่า...เอ๊ะ ! ทำไมนะ  ทำทุกอย่างแล้วก็ยังรู้สึกเหนื่อยล้า ท้อแท้ อ่อนเปลี้ยเพลียแรงอยู่เหมือนเดิม ซึ่งกระทำเหล่านั้นเป็นการดูแลเยียวยาแต่เพียงภายนอกค่ะ

พบว่าสาเหตุที่แท้จริงแล้วเกิดจากปัญหาภายในจิตใจของคุณเองต่างหากที่ยังไม่สงบ ไม่นิ่ง ขาดสมาธิ และไม่ว่างพอ ร่างกายคุณได้พักแต่จิตใจของคุณไม่ได้พักเลย มีแต่ปัญหาต่างๆ เข้ามาให้คุณต้องขบคิดเรื่องนั้น เรื่องนี้ มีเข้ามาวนเวียนอยู่ตลอดเวลา ดังประโยคที่ว่า ...

" ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว "คุ้นหูคุ้นตากับประโยคนี้ไหมคะ ?

ดังนั้นคุณจึงควรที่จะพักจิตใจของคุณควบคู่ไปด้วยเช่นกัน

สาธยายมาเสียยืดยาวเข้าเรื่องกันดีกว่าค่ะ

คุณเคยได้ยินหรือผ่านตาเกี่ยวกับเรื่องของ
" การสะกดจิต " ไหมคะ ?

ศาตร์แห่งการสะกดจิต ฟังดูแล้วเหมือน ลึกลับ ดูน่ากลัว แต่จริงๆ แล้วไม่น่ากลัวอย่างที่คิดหรอกค่ะ และเราก็สามารถทำได้ด้วยตัวเองค่ะ เป็นเหมือนการค้นหาโลกภายใน และควบคุมชิวิตให้มีสติเพิ่มขึ้นค่ะ ใครที่ช่วงนี้ รู้สึกว่ามีอาการดังที่กล่าวมาในบทความตอนต้นลองทำตามดูค่ะ
  • นั่งในท่าที่สบายๆ ในห้องที่เงียบสงบๆ
  • เหลือบตาขึ้นจับจ้องที่จุดสมมติบนเพดานจนกว่าจะรู้สึกล้า
  • ขณะที่มองเพดานนั้นให้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วนับ 1-10 อย่างช้าๆในใจ
  • จากนั้นค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกอย่างช้าๆ พร้อมกับพูดว่า  "ผ่อนคลาย"  ทำซ้ำสองครั้ง
  • หายใจเข้าลึกๆอีกครั้ง ผ่อนลมหายใจออกค่อยๆหลับตาลง  แล้วบอกตัวเองให้...ผ่อนคลาย
  • จินตนาการว่าร่างกายของคุณนั้นไร้น้ำหนักและกำลังล่องลอยขึ้นไปเรื่อยๆอย่างเบาสบาย
  • ในจินตนาการนั้น ให้คุณรู้สึกว่าคุณกำลังล่องลอยไปสู่ภูเขาที่สูงมีหญ้าสีเขียวขึ้นปูลาดไปทั่วภูเขาอย่างนุ่มนวล แล้วค่อยๆนับถอยหลังช้าๆ .....5 .....4 .....3 .....2.....1 
  • จากนั้นให้คุณตั้งจิตแน่วแน่แล้วมุ่งไปยังเป้าหมายของคุณ เช่น "ฉันจัดการเรื่องต่างๆ ได้", "ฉันเชื่อมั่นในตนเอง"
  • ใช้จินตนาการย้ำกับตัวเองว่า "ฉันเป็นคนใหม่แบบที่ต้องการจริงๆ"
  • ใช้เวลาประมาณ 10-20 นาที ก่อนจะถอยตัวออกมาแล้วนับ 1.....2.....3.....4.....5 
  • ก่อนจะเปิดเปลือกตาขึ้นด้วยความรู้สึกที่สดชื่น
ลองทำเป็นประจำก่อนนอนนะคะพอตื่นเช้ามาคุณจะรู้สึกเหมือนมีพลังขึ้นค่ะ  เป็นวิธีการที่ช่วยชาร์จพลังชีวิตขึ้นมาได้ดีอีกวิธีหนึ่งเลยทีเดียวค่ะ...\' '/

แลดู...ดูแล...

แลดู   เป็นคำกริยา หมายถึง  ดู, มองดู

ดูแล   ก็เป็นคำกริยาเช่นเดียวกัน หมายถึง เอาใจใส่ ปกปักรักษา  ปกครอง 

นับตั้งแต่เกิดมาเชื่อขนมกินได้เลยค่ะว่าไม่เคยมีใครที่ไม่เคยได้สัมผัสหรือรู้จักกับ 2 คำนี้

เริ่มจากคำว่า  ดูแล คำนี้ไม่ว่าเพศใดก็ตามตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ก็ได้สัมผัสแล้ว  หากใครขาดการดูแลเสียตั้งแต่ตอนที่อยู่ในท้องนี้แล้วไม่สามารถที่จะได้เกิดมาชื่นชมโลกใบนี้ได้อย่างแน่นอน หากมีโอกาสได้เกิดมาดูโลกก็อาจมีร่างกายที่ไม่สมบูรณ์เท่าใดนัก


ครั้นพอลืมตามาดูโลกแล้ว ไม่เพียงแต่คุณพ่อ คุณแม่เท่านั้นที่คอยดูแลคุณ ยังมีคุณหมอ คุณพยาบาล  คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยาย ญาติพี่น้อง ที่ช่วยกันเอาใจใส่เลี้ยงดู อบรมสั่งสอน  ให้ความรัก ความอบอุ่น ความห่วงใย ความปรารถนาดี และบ่มเพาะสิ่งดีงามให้กับคุณ

พอเข้าสู่วัยเรียน ครูบาอาจารย์ บรรดาผองเพื่อน ก็จะเข้ามามีส่วนช่วยในการดูแลคุณในเรื่องของการเรียนรู้ทั้งในและนอกตำรา

และเมื่อเข้าสู่วัยทำงาน คุณก็จะพบกับ นายจ้าง และเพื่อนร่วมงาน พวกเขาเหล่านั้นก็จะเข้ามาช่วยกันดูแลคุณเช่นกันค่ะ

แต่จะดูแลคุณกันในแง่ไหนก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลที่คุณคบหานั่นล่ะค่ะ

ถ้าคบมิตรที่ดี ทั้งคุณและเขาต่างดูแลซึ่งกันและกัน พวกเขาก็จะช่วยดูแลชี้นำคุณไปในทางที่ดี แม้ว่าคุณจะเดินออกนอกเส้นทางไปบ้างพวกเขาก็จะคอยแนะนำและดึงคุณกลับมาเดินในเส้นทางที่ถูกที่ควร และช่วยกัน สนับสนุนและเป็นกำลังใจให้คุณประสบความสำเร็จ

และถ้าคุณพลาดไปคบกับมิตรที่ตรงกันข้ามกับมิตรที่ดี พวกเขาก็จะดูแลคุณเช่นกันค่ะ แต่จะแนะนำคุณไปในทางที่ไม่ถูกไม่ควรพาคุณให้ไปหลงมัวเมาอยู่ในอบายมุขฉุดให้ชีวิตดิ่งลงไปเรื่อยๆ คุณคงเคยได้ยินสำนวนไทยที่ว่า...

คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล กันนะคะ

และถ้าหากคุณและพวกเขาไม่ได้สนใจใยดีกับคำแนะนำต่างๆ เหล่านั้นที่ต่างฝ่ายต่างหยิบยื่นให้กันไมว่าจะเป็นมิตรแท้หรือมิตรเทียม เช่นนั้นแล้ว  ต่างก็เป็นพียงแค่ผู้ที่ต่างก็แลดูกันเท่านั้นเองค่ะ

ความรักก็เช่นกัน...

ถ้าจะอยากให้ต้นรักของคุณเจริญงอกงามต้องหมั่นดูแลรดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ยแต่พอเหมาะพอควรนะคะ

ใส่น้อยไปก็โตช้า ใส่มากก็รากเน่า เมื่อรากเน่าแล้วก็อย่าไปคาดหวังถึงดอกผลเลยค่ะ และยิ่งถ้าไม่รดน้ำเลย ปล่อยไปตามสภาพดินฟ้าอากาศทำได้เพียงแค่แลดูล่ะก็ อย่าไปปลูกเลยค่ะ ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ กับตัวคุณและสิ่งแวดล้อม

ค่อยๆ ถนุถนอม ให้ต้นความรักของคุณเติบโตไปในทางที่ควรจะเป็น ดูแลกันวันละนิดไม่ต้องมากมายแต่ก็ไม่น้อยเกินไป และมอบให้กันอย่างสม่ำเสมอดีกว่าค่ะ

แล้ววันหนึ่งคุณก็จะเห็นดอกไม้แห่งความรักของคุณบานสะพรั่งเต็มต้น ด้วยมือของคุณที่ปลูกขึ้นมาจากหัวใจของคุณเอง....\^3^/








ใส่ใจ...


Beware of small expenses, a small leak will sink great ship.

                          " Benjamin Franklin"



บ่อยครั้งใช่ไหมคะ ?

ที่เราทำอะไรลงไปโดยใช้อารมณ์จนลืมนึกถึงความรู้สึกของคนรอบข้างไป ไม่ว่าจะด้วยกิริยาหยาบคาย หรือคำพูดที่คอยทิ่มแทงเชือดเฉือน สิ่งเหล่านี้มันจะเกิดเป็นรอยแผลเหมือนกับการเอามีดที่แหลมคมไปแทงใครสักคน นั่นล่ะค่ะ

ต่อให้คุณใช้คำพูดว่า "ขอโทษ" สักกี่หน ก็ไม่อาจลบความเจ็บปวด ไม่อาจลบรอยแผลที่เกิดกับเขาคนนั้นได้เลย

ถึงเวลาที่คุณต้องมองตัวเองแล้วล่ะค่ะว่าคุณมีรอยแผลที่ถูกทิ่มแทงเหล่านี้ กี่แผล ?
และ    คุณเคยฝากรอยแผลนี้ ไว้กับใครบ้าง ?


ก่อนที่จะฝากรอยแผลนี้ไว้กับใคร ไม่มีใครทันคิดหรอกค่ะว่า บาดแผลที่เกิดขึ้นนั้นจะหายไปหรือไม่ บาดแผลและรอยตำหนินั้นจะยังคงติดอยู่ในใจตลอดไปค่ะแทบจะไม่สามารถลบออกไปได้ง่ายเลยเพราะฉะนั้นสิ่งที่สมบูรณ์ที่สุดย่อมจะด้อยค่าลงเมื่อถูกใช้งาน ซึ่งไม่มีทางที่จะกลับมาสมบูรณ์ได้เหมือนเดิมค่ะ

ทุกคนต่างก็คาดหวังให้เป็นดั่งใจคิด ดังนั้นต้องคุณต้องใช้วิธี เอาใจเขามาใส่ใจเรา ค่ะพยายามมองข้ามในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ลดความคาดหวังลงบ้าง ก็จะไม่มีการทำร้ายกันแน่นอนค่ะ

แล้วที่เรานั่งชื่นชมจนลืมมองวิธีการที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ ถ้าคุณมัวแต่ให้ความสำคัญกับสิ่งใหญ่ๆ จนละเลยและมองข้ามในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ไป
สิ่งเล็กๆ น้อยต่างๆ เหล่านี้ล่ะค่ะ เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยพาคุณไปสู่ความสำเร็จ บนเส้นทางที่คุณจะเดินไปตามหาความฝัน

หากแต่คุณมุ่งหน้าวิ่งไปตามความฝันของคุณจนลืมมองสองข้างทาง คุณจะไม่ทันได้มองเห็นเลยค่ะว่าระหว่างทางทั้งสองฝั่งนั้นมีความสวยงามซ่อนอยู่ รอให้คุณไปค้นหา

ลองค่อยๆเดินชมสองข้างทางดูสิคะ คุณอาจจะได้เห็นทุ่งดอกไม้แสนสวย  หรือมองเห็นธารน้ำตกที่สดชื่น สวยงาม ลองสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ สัมผัสถึงกลิ่นดอกไม้และไอดินจากทุ่งกว้าง ความสดชื่นของธารน้ำตก ลองเงี่ยหูฟังเสียงนกเสียงแมลงบ้าง

แล้วคุณจะพบว่าสิ่งเหล่านี้ล่ะค่ะที่จะช่วยส่งพลังให้คุณมีแรงที่จะไปตามความฝันของคุณต่อ

อย่าก้มหน้าก้มตาทำงาน จนลืมเอาใจใส่คนรอบข้างนะคะ ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว เพื่อนหรือแฟน เพราะคนเหล่านี้ล่ะค่ะเป็นอัญมณีที่มีค่า หายากยิ่ง เพราะพวกเขาเป็นคนที่คอยให้ความรัก ห่วงใย เอาใจใส่ และความหวังดี คอยให้อภัยในยามที่คุณผิดพลาด คอยให้กำลังใจและยินดีเมื่อเราประสบความสำเร็จ ปลอบใจในยามที่คุณเศร้า ให้ความช่วยเหลือในยามที่คุณเดือดร้อน และมีความจริงใจให้เสมอ

อย่าให้พวกเขาหล่นหายไปจากชีวิตคุณนะคะ เพราะคำว่า "ขอโทษ"ไม่สามารถลบรอยแผลที่เกิดขึ้นในใจได้ค่ะ...^^

สะเก็ดแผล...

มีใครบ้างคะที่ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเป็นแผลเลย ?

ไม่ว่าใครก็คงเคยมีบาดแผลติดตัวมากันบ้างไม่มากก็น้อย แล้วแต่วีรกรรมของแต่ละบุคคลไป

ว่าใครซนมากซนน้อย ใครมีสติตั้งอยู่บนความไม่ประมาทมากกว่ากัน หรือบางครั้งระวังอย่างเต็มที่แล้วก็ได้รับบาดแผลมาเป็นของกำนัล จากสาเหตุต่างๆ ที่อยู่เหนือการควบคุมของคุณเอง

เวลาเป็นแผลนี่มันเจ็บนะคะแล้วเวลาที่มีใครหรือมีอะไรมาโดนที่แผลอีกด้วยนี่...เจ็บสุดๆ เลยและก็กว่าจะหายก็ใช้เวลานานพอสมควร บางบาดแผลก็ทิ้งร่องรอยตอกย้ำความเจ็บปวดไว้ให้ช้ำใจอีกต่างหาก

เวลาที่แผลตกสะเก็ดเวลาลูบไปที่แผลรู้สึกยังไงกันบ้างคะ ?

บางครั้งก็ตึงๆ คันๆ แข็งๆ บวกกับรำคาญอยากจะแกะ  ยิ่งแกะยิ่งมัน .. ยิ่งมันยิ่งแกะ

ผู้เขียนเคยแอบเข้าใจว่า..ถ้าแกะสะก็ดแผลออกแล้วจะหายเร็วขึ้นแผลจะไม่แข็งแล้วจะกลับสู่สภาพเดิมเร็วขึ้น แผลมันนิ่มก็จริงค่ะแต่มันทั้งเจ็บทั้งแสบ สักพักตกสะเก็ดอีกก็แกะอีก ก็เจ็บแสบอีก วนเวียนอยู่อย่างนั้นจนกว่าแผลจะหายเจ็บ ซึ่งใช้เวลานานมากกว่าจะหายดีแถมยังทิ้งรอยแผลเป็นนูนๆ ไว้ให้ เจ็บใจ เศร้าใจและนึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดรอยแผลนั้นอีก...

และแล้วผู้เขียนก็ได้ค้นพบว่า...แท้ที่จริงแล้วถ้าเราไม่ไปลูบ แคะ แกะ เกา ไม่ไปกระแทกบาดแผลที่กำลังตกสะเก็ดนั้น บาดแผลนั้นจะหายได้เร็วกว่า

อย่าไปมองค่ะ ทนเจ็บๆ คันๆ ไปสักพักและดูแลบาดแผลนั้นให้ดีๆ แล้วจะเห็นว่าไม่นานนักบาดแผลก็จะหายดี จะเหลือทิ้งไว้ก็เพียงแค่รอยจางๆ บางครั้งแทบจะมองไม่ห็นเลยด้วยซ้ำค่ะว่าตรงนั้นเคยมีบาดแผลมาก่อน

จะว่าไปแล้ว...ก็เหมือนในช่วงชีวิตหนึ่งของคนเราที่ผ่านเหตุการณ์ต่างๆมากันมากมาย  ทุกข์มากบ้าง น้อยบ้างคละเคล้ากันไป ความเจ็บปวดที่เคยเกิดขึ้นกับคุณ บางเหตุการณ์ก็ลืมไปแล้ว แต่บางเหตุการณ์ นึกถีงครั้งใดก็อดที่จะน้ำตาไหล หรือทุกข์ใจไม่ได้

เวลาบวกกับความอดทน นั่นเองค่ะที่จะนำไปสู่ความเข้มแข็ง ปล่อยวาง แล้วก็ทำเป็นลืมๆ ไปบ้างดูสิคะ แล้วคุณก็จะรู้สึกได้ว่า ความทุกข์มันเบาขึ้น ลองดูค่ะ

บาดแผลในใจก็เช่นกันค่ะ...บาดแผลเล็กไม่นานก็จางหาย...อาจจะคงไว้ในความทรงจำเพียงเลือนลาง...แต่บาดแผลใหญ่ๆ นี่สิคะ มันจะทิ้งร่องรอยไว้ให้คุณจดจำไปอีกนานแสนนานลยทีเดียว

สวัสดี...

" ...สวัสดี... "

เป็นคำที่คุ้นหูและคุ้นเคยในสังคมของคนไทยอย่างเราๆ ท่านๆ กันเป็นอย่างดี....

และคำว่า สวัสดี นี้ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างมิตรภาพและนำไปสู่ความสัมพันธ์อันดีอีกด้วยค่ะ

          สวัสดีคำทักทายคำนี้ ไม่เพียงแต่ใช้เฉพาะในประเทศไทยเพียงเท่านั้นต่างชาติก็ใช้คำทักทายที่มีความหมายว่าสวัสดีนี้เช่นเดียวกัน ในบางประเทศก็ใช้ภาษาที่แตกต่างกันไปในแต่ละเชื้อชาติค่ะ อาทิ

สิงคโปร์                หนี ห่าว     
เมียนมาร์              มิงกะลาบา
กัมพูชา                 จุมเรียบซัว  
ลาว                       สะบายดี
เวียดนาม              ซินจ่าว       
อินโดนีเซีย           เซลามัตปากิ
มาเลเซีย,บรูไน     เซลามัตดาตัง
ฟิลิปปินส์              กูมุสต้า

ฯลฯ

วิธีสร้างมิตรภาพที่ดี
  • ศึกษาคุณสมบัติของความเป็นมิตรให้มากขึ้นค่ะ เมื่อคุณเริ่มการสนทนา หรือการทักทายกับผู้อื่น ด้วยคำว่า "สวัสดี " แล้วควรจะสบตาคู่สนทนาเพื่อแสดงถึงการให้ความสนใจ และตั้งใจฟังอย่าไปขัดคอเชียวนะคะ เพราะสิ่งนี้จะช่วยสร้างความรู้สึกที่สนิทสนม และอบอุ่นในการสนทนาค่ะ
  • กล้าที่จะทักทายผู้อื่นก่อนเพื่อเป็นการแสดงว่าคุณยกย่อง และให้เกียรติ เพราะถ้ามัวแต่คอยให้คนอื่นเข้ามาหาคุณอาจจะต้องรอจนเหงือกแห้งก็เป็นได้นะ  หมั่นถามสารทุกข์สุกดิบกับผู้อื่นบ้างค่ะ ใคร เป็นอะไร อย่างไรบ้าง จะช่วยให้สนิทสนมกันง่ายขึ้นแต่ไม่ถึงกับต้องล้วงลับ ตับไต ลากไส้ออกมากองเชียวนะคะ เช่นนั้นจะเป็นการทำลายความสัมพันธ์ที่มีต่อกันไปค่ะ
  • กล้าเข้าถึงผู้ที่ให้ความสนใจในตัวคุณอย่างแท้จริง และคนที่ช่วยทำให้คุณสบายใจเมื่อคุณอยู่กับพวกเขา อย่าไปเสียเวลาคอยติดตามเพื่อนที่จะทำให้คุณตกต่ำหรือคนที่มีคนชอบมากมายเลยค่ะเพราะคุณจะกลายเป็นคนที่ไม่มีความหมายอะไรเลยนะเพราะว่าเขาไม่มีเวลาให้กับคุณนั่นเองค่ะ
  • เป็นตัวของตัวเอง บางคนเป็นผู้ให้คอยที่จะเป็นฝ่ายให้อยู่เสมอไม่เคยเป็นผู้รับจากเพื่อนฝูงเลยเพราะคิดว่าการให้นั้นจะทำให้กลายเป็นผู้ที่ชื่นชอบและเป็นที่ยอมรับจากคนอื่นๆ การให้เป็นสิ่งที่ดีค่ะ แต่การให้ด้วยความสนิทสนมอย่างจริงใจต่างหากล่ะคะที่จะเป็นการให้ที่เป็นประโยชน์ ในความสัมพันธ์หนึ่งๆ โดยที่มีผู้ให้เพียงฝ่ายเดียว จะทำให้บุคคลทั้งสองฝ่ายต้องปกปิดความไม่สบายใจต่อกันแม้ทั้งสองจะเป็นเพื่อนสนิทกันก็ตามหากเป็นเช่นนี้แล้วความสัมพันธ์จึงมิอาจยั่งยืน
  • เปิดเผย ในบางส่วนที่สำคัญเกี่ยวกับตัวคุณให้เพื่อนของคุณมีส่วนรับรู้บ้าง อาจจะเป็นเรื่องของความรู้สึก.....ความใฝ่ฝัน.....ความผิดหวัง.....ความท้อแท้ ....การรักษาความเป็นเพื่อนนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถของคุณที่จะทำให้คนอื่นรู้จักคุณ เปิดเผยแต่พองามค่ะ แต่ถ้าหากเปิดเผยมากเกินไปก็เท่ากับคุณผลักไสให้คนอื่นไปจากคุณนั่นเองค่ะ
  • ยอมรับในสิ่งที่คนอื่นป็นอยู่ อย่าพยายามที่จะเปลี่ยนคนอื่น อาจจะมีใครสักคนหนึ่งที่คุณชื่นชอบเป็นอย่างมาก คุณต้องยอมรับในความเป็นตัวตนของเขา รวมถึงทรรศนะที่เขามีต่อความคิดเห็นของคุณ สำคัญที่สุดการเป็นเพื่อนที่ดีไม่ได้หมายความว่าสถานะ ความป็นอยู่การพูดคุยรวมถึงความคิดเห็นในเรื่องต่างๆไม่จำเป็นต้องเหมือนกันเสมอไป ยอมรับในความแตกต่างด้วยนะคะ  เพราะนั่นเป็นการแสดงว่าคุณได้สร้างสัมพันธภาพที่ดีต่อกันอีกด้วยค่ะ
  • อย่าคาดหวังเกินไป ว่าเพื่อนของคุณจะต้องดีพร้อมไปเสียทุกเรื่อง ถ้าหากว่าเพื่อนคนหนึ่งเกิดไม่พอใจหรือไร้เหตุผลขึ้นมา อย่าคิดว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา สิ่งที่ดีที่สุด คุณควรจะช่วยเหลือให้เพื่อนรอดพ้นจากความลำบากใจนั้น ถ้าหากไม่สำเร็จก็ต้องอดทนกันหน่อยนะคะ เพื่อที่ว่าเมื่อเพื่อนของคุณอารมณ์ดีขึ้นแล้ว คุณทั้งคู่ก็จะมีความสุข และที่เคยทะเลาะขัดใจกันบ่อยๆก็จะค่อยๆ สิ้นสุดลง ความสนิทสนมกันก็จะมีมากขึ้นค่ะ
  • มีส่วนร่วมในทุกข์สุขของเพื่อน ควรแสดงความยินดีเมื่อเพื่อนมีสุข และถ้าเพื่อนมีทุกข์ก็ควรที่จะแสดงความเสียใจด้วยเช่นกัน
ปัญหาในความสัมพันธ์
          การที่คุณต้องการจะมีเพื่อนเป็นพิเศษกับใครสักคน แต่ขณะเดียวกันคุณกลับรู้สึกอิจฉา และหวาดกลัว ถ้าเพื่อนคนนั้นให้เวลาแต่คนอื่น แท้ที่จริงแล้ว ความอิจฉาและความหวงแหนนั้นไม่ได้ส่งเสริมความเป็นเพื่อนเลยแม้แต่น้อยแต่กลับจะเป็นการทำลายความสัมพันธ์เสียมากกว่า

          ถ้าอยากให้ความสัมพันธ์ในความเป็นเพื่อนของคุณก้าวหน้าและสัมพันธภาพนั้นยังคงอยู่ต่อไปล่ะก็ คุณต้องทะนุถนอมความสัมพันธ์นั้นไว้ด้วยความห่วงใย เอื้ออาทร และการดูแลซึ่งกันและกันจะดีกว่าค่ะ

เพื่อที่ว่า...ในวันที่คุณ.....
เศร้าที่สุด.....
ปวดร้าวที่สุด.....
ทุกข์ที่สุด.....
ท้อแท้.....
เสียใจ.....
ฯลฯ....
ยังมีใครคนหนึ่งยืนเคียงข้างคุณเสมอค่ะ....

" สวัสดี "


กระดุมเม็ดแรก...

" ติดกระดุมเม็ดแรกผิด ทุกอย่างผิดหมด "

คุณเคยพบกับเหตุการณ์ต่างๆเหล่านี้กันบ้างไหมคะ ?

           คิดทำอะไรสักอย่าง คิดโครงการใดๆสักเรื่อง หรือว่าวางแผนที่จะเดินทางไปตามความฝันที่คุณวาดไว้ และแล้วก็ไม่ประสบความสำเร็จหรือมีเหตุให้ต้องล้มเลิกความตั้งใจไปกลางคัน ทั้งที่คุณเองก็ทำตามขั้นตอนที่วางไว้แล้วแต่ ...

เอ๊ะ..! ทำไมนะ? ทุกอย่างกลับผิดพลาดหมดเลยล่ะ ถ้าเป็นอย่างนั้นคุณคงต้องกลับมาพิจารณาทบทวนดูแล้วล่ะค่ะว่ามันเกิดจากอะไร...

ลองมองย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นจุดเริ่มต้นสิคะ แล้วคุณจะพบว่า...

เกิดจากการตัดสินใจของคุณในครั้งแรกนั่นล่ะค่ะ อย่าดึงเอาความคิดที่เป็นลบหรือบั่นทอนเข้ามาเป็นอุปสรรคต่อการตัดสินใจตั้งแต่เริ่มต้นรวมถึงความพร้อมในการตัดสินใจ  ความผิดพลาด ความล้มเหลว หรือแม้แต่ความคิดที่จะล้มเลิกก่อนจะไปถึงจุดหมายปลายทางที่ตั้งใจไว้  สิ่งเหล่านี้ค่ะที่จะทำให้โครงการหรือแผนการทำงานต่างๆ นั้นไม่ประสบความสำเร็จ หรือพังจนไม่เป็นท่า

           เปรียบได้กับเวลาเราใส่เสื้อแล้วติดกระดุมเม็ดแรกผิดนั่นเองค่ะ ถึงแม้ว่าจะติดจนถึงเม็ดสุดท้ายชายเสื้อก็ไม่เท่ากันอยู่ดี ดูยังไงก็ไม่สวยงาม

ก่อนจะติดกระดุมเม็ดแรกดูให้ดีๆนะคะ ถ้าเริ่มติดถูกต้องแล้วคุณก็จะไม่ต้องเสียเวลามาแกะแล้วติดใหม่อีกครั้งค่ะ

ลองใช้ชีวิตให้ช้าลงอีกนิด คิดให้ถ้วนถี่ก่อนตัดสินใจ แน่วแน่เข้าไว้ ปลายทางสวยงามรอคุณอยู่ค่ะ.........++

ลงมือทำ...

" อย่าพูดว่า ถ้าฉันอาจสามารถทำได้ ฉันก็คงจะได้ทำ ให้พูดว่า...ถ้าฉันบอกตัวเองว่าฉันสามารถทำได้ ฉันจะสามารถทำได้ "

- Jim Rohn  -


ในบางครั้งคุณคิดจะทำอะไรบางสิ่งบางอย่างแล้วคุณก็ทำสิ่งนั้นได้เรื่อยๆ แต่พอถึงจุดๆหนึ่งคุณกลับพบว่าสิ่งนั้นมันช่างน่าเบื่อ หรือมันยากเหลือเสียเหลือเกิน กว่าจะทำให้สำเร็จ กว่าจะไปให้ถึง

แล้วคุณก็ตัดสินใจว่าสมควรที่จะยุติสิ่งๆนั้นเสีย ซึ่งมันคงจะดีกว่า ที่จะปล่อยให้ถึงจุดๆหนึ่งที่อาจมาถามคุณว่า...แล้วตกลงว่าสิ่งที่คุณทำไปนั้นมันสำเร็จแล้วหรือยัง ?

ซึ่งคนส่วนก็มักจะลำบากใจที่จะตอบ แล้วก็เลือกที่จะปล่อยมือตั้งแต่ต้น
และถ้าคุณเป็นคนที่ชอบผลัดวันประกันพรุ่งด้วยแล้วล่ะก็ คุณก็มักจะให้
เหตุผลกับตัวเองว่า...เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยทำก็ได้นะ

และแล้ววันพรุ่งนี้ก็ไม่มาถึงสักที งานก็ยังคงคั่งค้างอยู่อย่างนั้น เพราะหลายคนกลัวการเริ่มต้นค่ะ เลยรู้สึกว่างานนี้มันยาก

แต่ในขณะเดียวกันนะคะ ถ้าหากคุณได้รับมอบหมายงานมาหรือคิดจะทำโครงการอะไรสักอย่างแล้วคุณก็ ลงมือทำทันที ทีนี้คุณก็จะรู้ว่ามันไม่ได้ยากอย่างที่คุณคิดเลยสักนิด

แต่ถ้าคุณไม่ทำอะไรให้เสร็จสักอย่างและไปจับงานอื่นเรื่อยๆ ก็จะไม่มีงานใดที่สำเร็จเลย ทุกอย่างที่คุณทิ้งไว้ก็คือความล้มเหลวที่คุณไม่ยอมรับ คุณก็จะต้องมานั่งตอบคำถามใครต่อใครด้วยเหตุผลที่สิ้นคิดว่า...

" ไม่มีเวลาพอ "
" ทำไม่ทัน"
" มันน่าเบื่อเกินไป "
" ไปทำอย่างอื่นดีกว่า"

แต่พอมาไล่ดูงานที่ผ่านๆมาก็ไม่เห็นมีอะไรเชิดหน้าชูตาเลย...เฮ้อ

ลองมาดูกันค่ะว่า...ควรจะทำยังไงดี ทางออกที่ดีที่สุด


คุณควรที่จะแบ่งเวลามาเริ่มต้นทีละนิดก่อนค่ะ คนที่ได้เริ่มทำอะไรไปบ้างจะหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่ทำและทำสิ่งเหล่านั้นต่อไปแม้จะเป็นการทำทีละนิดทีละน้อยแต่ถ้าทำได้ทุกวันก็ย่อมจะมีผลงานแน่นอนค่ะ ลองเริ่มจากทำสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ให้สำเร็จสักอย่างก่อนค่ะ เช่น
  • อ่านหนังสือให้จบเล่มภายในเวลาที่กำหนด
  • ตั้งใจลดน้ำหนัก 2 กิโลกรัม ใน 2 สัปดาห์
  • หัดทำกับข้าว
  • เคลียร์งานที่ค้างให้เสร็จ
ลองตั้งใจทำให้สำเร็จทีละอย่างค่ะจนคุณสามารถทำอะไรสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันเสียที
เริ่มจากภารกิจเล็กๆ ทีนี้ลองมาทำภารกิจใหญ่ๆ ดูกันบ้างนะคะ
  • อาจจะเป็นเรื่องของการงาน
  • เป้าหมายความฝัน
ซึ่งต้องใช้ความพยายามที่มากขึ้นและคุณก็จะรู้สึกได้ค่ะว่าแรงกระตุ้นที่ช่วยให้คุณทำเรื่องเล็กๆน้อยๆได้สำเร็จนั้นจะช่วยให้คุณรู้สึกมีความมั่นใจและพร้อมที่จะลุยไปกับทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามาค่ะ
เริ่มจาก...คิด...ศรัทธา...มุ่งมั่นที่จะทำ...แล้วรีบลงมือทำทันทีค่ะ ... ลองดูค่ะ...คุณทำได้ \^^/





มุ่งมั่น...

" ความมุ่งมั่น ทุ่มเท คือจุดเปลี่ยนของชีวิตในตอนที่คุณใส่หัวใจเข้าไป แล้วเปลี่ยนมันให้กลายเป็นโอกาส ที่จะเปลี่ยนชีวิตของคุณ "
                                                                                                   - Denis Waitley -




คุณทราบไหมคะว่า สูตรสร้างแรงบันดาลใจสู่การมุ่งมั่นทุ่มเทของบรรดาเหล่าผู้นำทั้งหลายคืออะไร ?

สูตรสำเร็จที่พวกเขาใช้กันนั้น ได้แก่
  • เป้าหมายที่ชัดเจน
  • แผนการปฏิบัติที่แน่นอน
  • ความมั่นใจที่แน่วแน่อันแข็งแกร่ง
  • ลงมือทำทันที
สิ่งเหล่านี้ล่ะค่ะ ถ้าคุณสามารถสื่อออกไปให้แก่ผู้คนที่ทำงานร่วมกับคุณแล้วล่ะก็ คุณจะได้รับความจงรักภักดีในลักษณะที่จะต้องทำ ไม่ว่ามันจะไกลสักเพียงใด จะลำบาก จะเหนื่อยสักแค่ไหน แน่นอนค่ะว่ามันต้องใช้ความมุ่งมั่นและอดทนมากกว่าแรงบันดาลใจที่จะดำเนินการทำงาน ไปจนกระทั่งประสบความสำเร็จทั้งตัวคุณเองและทีมงาน

ไม่เพียงแต่ในแง่ของการทำงานเพียงเท่านั้นนะคะ สูตรนี้สามารถใช้ได้กับเป้าหมายในทุกๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน ความใฝ่ฝัน ความต้องการที่จะทำบางสิ่งให้สำเร็จลุล่วง


มองย้อนไปในตอนต้นทศวรรษที่  60

ท่านประธานาธิบดี John F. . Kennedy ได้มีวิสัยทัศน์ในเรื่องการนำคนไปลงบนดวงจันทร์ และท่านได้บอกชาวอเมริกันว่า " เราสามารถทำได้ ! " เขาพูดอย่างมั่นใจมาก จนกระทั่งผู้คนจำนวนมหาศาลเชื่อเหมือนกับที่เขาเชื่อ แล้วบรรดาผู้คนเหล่านั้นต่างก็มุ่งมั่นทุ่มเทเพื่อที่จะทำให้มันเกิดขึ้นร่วมกันและก็แน่นอนที่สุดค่ะ ภายในเวลาไม่ถึงทศวรรษก็ได้มีมนุษย์โลกไปยืนบนดวงจันทร์

และผลของการที่เรามีความมุ่งมั่น ทุ่มเท อดทน และก็เพียรพยายามที่จะฝ่าฟันอุปสรรค นานัปการโดยไม่ย่อท้อ สิ่งที่เราปรารถนาย่อมมาถึงสักวันค่ะ

บอกตัวเองว่าอย่าท้อค่ะ ลูกท้อไม่ได้มีไว้ให้คุณถือนะคะ เขาให้ลิงถือค่ะ    (บนกล่องยาหม่องน่ะค่ะ - -*)

ได้ผลอย่างไรกันบ้าง มาเล่าสู่กันฟังได้นะคะ ยินดีค่ะ ^^

ศรัทธา...


ความศรัทธา...ทำให้ทุกสิ่งเป็นจริงได้เสมอ

สามารถทำความฝันให้เป็นจริงได้หากคุณศรัทธามักจะประสบความสำเร็จเสมอค่ะ

ไม่จำเป็นที่จะต้องให้ใครมาชื่นชมคุณเลยค่ะ ถ้าหากคุณยังไม่เห็นคุณค่าในตัวคุณเอง และในสิ่งที่คุณทำขึ้นมา แม้ไม่มีใครเห็นคุณค่ายิ่งไม่มีความหมาย

ความรู้สึกดีที่มีต่อตัวคุณเองต่างหากที่สำคัญที่สุด จงศรัทธาในตัวคุณเองในทุกวัน และยิ่งคุณศรัทธาในตัวคุณเองและสิ่งต่างๆมากเท่าไหร่นะคะ ก็จะยิ่งพัฒนาในสิ่งนั้นให้ดียิ่งขึ้นไป และคุณก็จะพยายามขวนขวายและหาหนทางใหม่ๆเพิ่มขึ้นอยู่เสมอค่ะ

ผู้ที่ปรารถนาความรุ่งเรืองในชีวิตของตนต้องมั่นใจอยู่เสมอว่า...

ในการต่อสู้ของชีวิตนั้นไม่มีระฆังบอกเวลาสิ้นสุดการแข่งขันนะคะ ในการต่อสู้บนสังเวียนเวทียังแบ่งการต่อสู้ออกเป็นยก ยกละ15 นาที ถึง 20 ยก แต่สังเวียนชีวิตเราต้องสู้ไปจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต

วิถีชีวิตของเราแต่ละคนไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบไปตลอดเส้นทางค่ะ อาจจะเจออุปสรรค ขวากหนาม หนทางที่ขรุขระเป็นหลุมบ้างเป็นบ่อบ้าง ถ้าหากว่าคุณไม่ได้มีจิตใจเป็นนักสู้แล้วล่ะก็ คุณจะไม่สามารถเดินฝ่าไปตลอดเส้นทางได้เลยค่ะ

หลายๆคน ที่ล้มเลิกความตั้งใจไปกลางคัน อาจจะเป็นด้วยความท้อแท้ สิ้นหวัง เห็นแต่ความมืดมนอยู่ข้างหน้า หรือจะเป็นเพราะความหวาดกลัวต่อภัยที่มองไม่เห็นตัวตน
ก็เลยไปไม่ถึงฝั่งฝันที่ตั้งใจไว้สักที

ความสำเร็จที่คุณปรารถนานั้น

ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับโอกาส
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอิทธิพล
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมภายนอก

หากแต่ซึมซาบอยู่ลึกภายในกายของเรานี่เองค่ะอยู่ที่ความมั่นใจมุ่งมั่นและแน่วแน่ต่อเป้าหมาย

นิสัยนักสู้นี่ล่ะค่ะดีที่สุดในบรรดาลักษณะนิสัยต่างๆของคนเราที่มีผู้ที่มีสัญชาตญาณ ของนักสู้ ตาของเขาจะจับจ้องอยู่ที่เป้าหมายแล้วเขาก็จะสู้ไปค่ะ สู้ไปเรื่อยๆ แม้ทางข้างหน้าจะขยับได้เพียงเล็กน้อยเขาก็ยอมขอให้ได้ขยับนิดหนึ่งก็พอ

ถ้าหากคุณทำงานใดก็ตามนะคะ พึงยึดหลัก " สู้ไม่ถอย " ค่ะแล้วคุณจะประสบความสำเร็จตามความมุ่งหวังเสมอค่ะ

สู้...สู้นะคะ ให้กำลังใจค่ะ  ^^ v

กอไผ่ในอก...


มาอ่านนิทานเบาๆ กันหน่อยดีกว่าไหมคะ ?

ได้มีโอกาสไปเข้าร่วมฟังท่านผู้อาวุโสทั้งหลาย ร่วมสนทนาธรรมกันตามอัธยาศัย พวกท่านได้พูดคุยกันถึงนิทานจากพงศาวดารจีนเรื่องหนึ่ง ฟังแล้วก็ดูเหมือนเป็นเรื่องเล่าธรรมดาๆ แต่ถ้าฟังแล้วคิดตามไปด้วยแล้ว นิทานเรื่องนี้ให้แง่คิดได้อย่างมากมายทีเดียวค่ะ

เรื่องมีอยู่ว่า...

มีนักศึกษาท่านหนึ่งเขาสนใจในศิลปะวาดรูปด้วยพู่กันจีนยิ่งนัก
เขาชอบวาดรูปไผ่เป็นอย่างมากถึงกับปลูกกอไผ่ไว้ในสวนตรงหน้าต่างข้างห้องใกล้โต๊ะเขียนหนังสือของเขา

ทุกครั้งพอเขาเครียดจากการอ่านหนังสือเขาก็จะผ่อนคลายสมองด้วยการมองไปที่กอไผ่ ดูกิ่งไผ่ ข้อไผ่ ข้อลำและ แขนงยอดอ่อนที่เพิ่งจะแทงใบออกมา หรือแม้กระทั่งใบแห้งๆ ที่ร่วงหล่นอยู่รอบๆ กอไผ่นั้น

เขาจะชื่นชม สังเกตอย่างละเอียดถี่ถ้วนถึงลักษณะที่เอนไหวของไผ่เมื่อยามที่มีลมพัดผ่านมา ดูไป วาดไป พินิจพิเคราะห์ และจดจำไว้ ไม่ว่าจะเป็นละอองน้ำค้าง บนใบไผ่ หรือสายน้ำฝนที่โปรยลงมากระทบ หน่อไผ่ที่โผล่พ้นดินขึ้นมา เขาสามารถวาดได้ใกล้เคียงกับของจริงมาก
ไม่ว่าจะเป็น กิ่งก้านเล็กน้อย ยอดอ่อน หรือใบแห้ง

วันหนึ่ง เพื่อนของเขามาเยี่ยมที่บ้านเมื่อเห็นผลงานจากการใช้ฝีไม้ลายมือวาดรูปไผ่ของเขา ถึงกับอุทานคำชมออกมาเป็นคำกลอนว่า...

 " เธอปลูกไผ่ด้วยพู่กัน
    กอไผ่นั้นงอกงามอยู่เต็มอก"

ดังคำพังเพยของกวีเอกชาวจีนท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า...

" จะลงมือวาดไผ่ ควรมีกอไผ่อยูในอก "

หมายความว่า ... การที่คุณจะทำบางสิ่งบางอย่าง ควรจะต้องมีการวบรวมข้อมูลรายละเอียดให้ครบถ้วน รู้ให้แน่ใจก่อนจะลงมือทำ แล้วก็ต้องมีความมั่นใจ เหมือนมี "กอไผ่อยู่ในอก "

หากไม่รู้แน่แท้แล้ว อย่าเพิ่งเสี่ยง ดีกว่าค่ะ เพราะโอกาสที่จะ " พัง " มีสูงกว่า " ดัง " แน่นอน

ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าให้กลัวต่อการเสี่ยงในการที่จะทำสิ่งใดนะคะ

ควรคิดและวางแผนให้รอบคอบสักนิด ก่อนจะลงมือทำสิ่งใดแล้วทำไปด้วยใจที่รักในสิ่งนั้น คิดและวาดโครงการให้เป็นภาพอยู่ในใจของคุณก่อน (เป้าหมายในใจ) แล้วค่อยทำโครงการของคุณนั้นออกมาเป็นรูปเป็นร่างจับต้องได้น่ะค่ะ

เรื่องเล่าบางเรื่องฟังแล้วอ่านแล้วก็เหมือนเป็นเรื่องเล่าธรรมดา

กับบางคนมองแค่ภายนอกก็เหมือนคนธรรมดา มองแล้วก็ไม่มีอะไรน่าสนใจ

แต่ลองใช้เวลาทำความเข้าใจอีกสักเล็กน้อย ในความธรรมดานี่ล่ะค่ะแฝงข้อคิดดีๆไว้ให้คุณได้อย่างคาดไม่ถึงเลยค่ะ

ได้ข้อคิดอีกอย่างค่ะว่าอ่านหรือฟังไม่ควรแค่เพียงผ่าน ยอมสียเวลาอีกนิดให้เข้าถึงแก่น แล้วเวลาที่เสียไปนั้นก็จะย้อนกลับมาให้คุณประโยชน์กับคุณมากมายทีเดียวค่ะ

ใส่ใจในรายละเอียด วาดภาพขึ้นในใจ เขียนออกไปดั่งที่ใจวาด ความปราถนาในใจคุณเป็นจริงได้ค่ะ... ^^v

เริ่มต้นที่....ความคิด


ท่ามกลางอุณหภูมิความร้อนบวกกับความกดดันเร่งรีบและการแข่งขันบนโลกใบนี้รู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจกันบ้างไหมคะ

แค่กายร้อนก็รู้สึกไม่สบายตัวแล้ว ถ้าจิตใจของคุณร้อนรนเข้าไปด้วยเนื่องจากเรื่องวุ่นๆรอบตัวคุณอีกล่ะก็ตลอดวันคุณก็คงจะไม่สนุกแน่

เราไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิที่อยู่ภายนอกร่างกายของคุณได้ แต่คุณสามารถที่จะลดอุณหภูมิความร้อนภายในร่างกายของคุณได้นะคะ

เริ่มต้นที่....ความคิด

ความคิดของคุณนี่ล่ะค่ะ  ความคิดสามารถช่วยลดระดับความร้อนในจิตใจของคุณได้ถ้าหากคุณได้รับการฝึกฝนจนเป็นนิสัยและการที่เราจะปลูกฝังความสุขให้เกิดขึ้นจะต้องเริ่มจากความคิดของคุณเป็นอันดับแรกค่ะ

ถ้าคุณ...คิดถึงแต่ความสุข ความรู้สึกดีๆที่เคยมอบให้และได้รับจากคนรอบข้าง  คิดถึงแต่ความสำเร็จที่เคยได้รับ ในไม่ช้าคุณก็จะกลายเป็นคนที่มีแต่ความสุข

ในทางตรงกันข้ามหากคุณคิดถึงแต่ความล้มเหลว จมอยู่กับสิ่งที่ทำให้จิตใจเศร้าหมอง ในไม่ช้าคุณก็จะกลายเป็นคนเจ้าทุกข์ เพราะความคิดของคนเรามีอิทธิพลเหนือกว่าสิ่งแวดล้อมใดๆทั้งสิ้นค่ะ
     
นักจิตวิทยาท่านให้คำแนะนำว่า

ทุกคืนก่อนเข้านอน จงนึกถึงแต่ความคิดที่สนุกสนานร่าเริง  นึกถึงเรื่องขบขันที่คุยกับเพื่อน นึกถึงความอิ่มใจที่ได้ทำบุญ นึกถึงความสำเร็จที่ได้รับ นึกถึงคำชมหรือกำลังใจที่ได้มา

ความคิดที่เต็มไปด้วยความสุขเหล่านี้ จะทำให้คุณนอนหลับสนิท และเมื่อคุณตื่นขึ้นมาในตอนเช้าจิตใจของคุณก็จะเบิกบานสดชื่นเหมือนสิ่งที่เรานึกถึงก่อนจะหลับนั่นเองค่ะ

ในการพูดหรือการสนทนาก็เช่นกันค่ะ พยายามพูดคุยแต่เรื่องที่สนุกสนานคนทีมีความสดชื่น มองอะไรได้ยินอะไร ก็เป็นเรื่องสนุกสนานได้ทั้งสิ้นค่ะ แม้กระทั่งเรื่องที่ไม่สนุกก็สามารถทำให้เป็นเรื่องที่สนุกสนานได้

แต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะเจอผู้ที่นำแต่เรื่องเศร้าโศกบ้าง เรื่องที่ทำให้จิตใจคุณเกิดความท้อถอยบ้าง มาเล่าให้ฟังเสมอๆใช่ไหมคะ

หากเจอแบบนี้เราไม่ควรไปโต้แย้ง คัดค้าน หรือประณามอย่างเปิดเผยนะคะ เพราะจะเป็นการทำลายบุคลิกภาพของคุณเองค่ะ แล้วยังจะทำให้กลายเป็นคนไร้มารยาท เป็นที่รังเกียจอีกด้วยค่ะ

คิดแต่ในเรื่องที่เบิกบานกันเข้าไว้นะคะไม่พลอยหดหู่ไปกับเขาด้วยก็พอแล้วล่ะค่ะ

ลองนำไปฝึกฝนกันดูนะคะบวกกับยิ้มกว้างๆ ค่ะ ต่อให้อุณหภูมินอกร่างกายระอุแค่ไหนแล้วคุณจะรู้สึกได้ค่ะว่าอุณหภูมิใจของคุณลดลงได้จริงค่ะ....
ขอให้มีความสุขกันทุกคนนะคะ :-)